"...ตอนนี้เป็นเรื่องราวที่ชายคนหนึ่งสูญเสียบ้านและทรัพย์สินจากอัคคีภัย
แต่หลักการและวิธีการคิดก็สามารถนำมาปรับใช้กับการสูญเสียเนื่องจากน้ำท่วมได้เช่นกัน
ขอเล่าเรื่องราวโดยย่อก็คือว่า พระเอกของเรื่องชื่อ “เรวัตตะ” ได้บรรพชาเป็นพระภิกษุ
ในพระพุทธศาสนาแล้ว จากนั้น ก็ได้จาริกเดินทางไปทั่วจนได้ไปจำพรรษาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
และเกิดเหตุอัคคีภัยแก่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน (หรือเรียกว่า “นายบ้าน”)
นายบ้านจึงมาขอให้พระเรวัตตะได้ให้ความช่วยเหลือ
พระเรวัตตะจึงได้ทำการช่วยเหลือโดยให้ธรรมโอสถแก่นายบ้านนั้น
ขอเล่าเรื่องราวโดยย่อก็คือว่า พระเอกของเรื่องชื่อ “เรวัตตะ” ได้บรรพชาเป็นพระภิกษุ
ในพระพุทธศาสนาแล้ว จากนั้น ก็ได้จาริกเดินทางไปทั่วจนได้ไปจำพรรษาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
และเกิดเหตุอัคคีภัยแก่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน (หรือเรียกว่า “นายบ้าน”)
นายบ้านจึงมาขอให้พระเรวัตตะได้ให้ความช่วยเหลือ
พระเรวัตตะจึงได้ทำการช่วยเหลือโดยให้ธรรมโอสถแก่นายบ้านนั้น
... วันรุ่งขึ้น นายบ้านได้มาหาผมพร้อมด้วยน้ำตาแล้วรายงานว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คืนที่แล้วมาได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่เรือนของกระผม บ้านเรือนและทรัพย์สมบัติถูกเพลิงเผาผลาญหมดสิ้น กระผมกลายเป็นคนทุคตะเข็ญใจเสียแล้ว พระผู้เป็นเจ้าโปรดกระผมด้วย”
“ไม่ต้องกังวล อาตมาจะช่วยเต็มความสามารถ”
“ขอได้โปรดช่วยโดยเร็วด้วย มิฉะนั้น กระผมและบุตรภรรยาจะอดตายเสียก่อน” นายบ้านกล่าวอย่างร้อนใจ
“อาตมาจะลงมือช่วยเดี๋ยวนี้ทีเดียว แต่ขอให้อุบาสกสงบจิตใจ ลืมเรื่องไฟไหม้บ้านไว้ชั่วคราวก่อน”
อุบาสกนายบ้านนั่งก้มหน้าหลับตาลงด้วยอาการสำรวมเป็นอันดี แล้วผมก็เริ่มช่วยเขาด้วยธรรมโอสถดังนี้
“ดูก่อนอุบาสก! จงตั้งใจให้สงบระงับ แล้วคอยฟังเรื่องที่อาตมาจะเล่าให้ฟัง ในระหว่างที่อาตมาเดินทางท่องเที่ยวมาโดยลำดับนั้น วันหนึ่งได้พักค้างคืนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นก็เข้าไปบิณฑบาตในบ้านตามวิสัยสมณะ ขณะที่กำลังเดินไปตามถนน ได้สังเกตเห็นฝูงชนกำลังรุมดูอะไรเป็นกลุ่มใหญ่ จึงเดินเฉียดเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะดูว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น อาตมาได้เห็นชายสองสามคนกำลังจับชายอีกคนหนึ่ง ดึงถูลู่ถูกังออกมาจากโรงทำหม้อของนายช่างหม้อ ชายคนที่ถูกดึงก็พยายามต่อสู้ดิ้นรนที่จะกลับไปในโรงทำหม้ออีก พลางส่งเสียงร้องว่า ‘ฉันไม่ไป ฉันไม่ไป นี่โรงทำหม้อของฉัน ฉันจะไปทำไม’ฝ่ายคนทั้งหลายไม่ฟังเสียง พยายามผลักไสเขาออกไป พร้อมกับร้องว่า ‘เจ้าคนบ้า เจ้าคนบ้า’
ได้เห็นเหตุการณ์อันประหลาดนั้นแล้ว อาตมาจึงถามชายอีกคนหนึ่งว่าเรื่องอะไรกัน เขาอธิบายให้ฟังว่า‘ชายคนที่เขาดึงออกมานั้น เป็นคนแปลกหน้าจากไหนไม่ทราบ เมื่อคืนที่แล้วได้ไปขออาศัยพักบ้านนายช่างหม้อ บอกว่าวันรุ่งขึ้นก็จะออกเดินทางต่อไป อาศัยคืนเดียวเท่านั้น นายช่างหม้อก็ยินดีจัดที่พักให้ด้วยอัธยาศัยไมตรี หาของใช้จำเป็นต่าง ๆ มาให้ พอรุ่งขึ้นชายแปลกหน้าคนนั้นกลับทึกทักเอาว่า โรงทำหม้อและทุกสิ่งทุกอย่างภายในนั้นเป็นสมบัติของตน ไม่ยอมออกจากโรงหม้อ ชาวบ้านต่างคิดว่าเขาคงกลายเป็นบ้าไปเสียแล้ว จึงช่วยกันฉุดเขาออกมาดังที่เห็นอยู่นี้’
ดูก่อนอุบาสก! ถ้าท่านไปพบเหตุการณ์เช่นนั้นเข้า ท่านจะคิดอย่างไร ท่านจะคิดว่าชายคนนั้นเป็นบ้าหรือเป็นคนดี”
นายบ้านตอบอย่างเงื่องหงอยว่า “ชายคนนั้นต้องบ้าแน่ เพราะไปเหมาเอาของเขาเป็นของตัว ทั้ง ๆ ที่ตนไม่มีสิทธิ์เลย”
“ถ้าชายคนนั้นบ้า คนทั่ว ๆ ไปก็บ้าด้วย! อาตมาจะชี้แจงเหตุผลให้ฟัง โลกนี้คือโรงงานของนายช่างหม้อ คนทุกคนเป็นแต่ผู้มาขออาศัยชั่วคราว ในไม่ช้าก็ต้องจากไป เรามาสู่โลกนี้ด้วยตัวเปล่า สมบัติชิ้นเดียวก็ไม่มีติดตัวมา ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ เช่น บ้านเรือน ไร่นา ผ้าผ่อน เงินทอง เรามาหาเอาทีหลัง เมื่อถึงคราวที่เราจะลาโลกนี้ไป เราต้องทิ้งทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง จะมีมากน้อยเท่าไรก็เอาไปด้วยไม่ได้ ถ้าสมมติว่าทุกคนตายหมด ทรัพย์สมบัติจะตกอยู่กับโลกนี้เอง มันก็กลับคืนไปหาโลกซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของมัน เราทุกคนไม่ใช่เจ้าของ เราเป็นผู้ขออาศัยอยู่ชั่วคราว ในไม่ช้าต้องจากไป ทิ้งสิ่งต่าง ๆ ไว้ให้ผู้มาอาศัยทีหลังใช้ต่อไป เมื่อความจริงมีอยู่เช่นนี้ ทรัพย์ของเราอยู่ที่ไหน ของเราไม่มี แต่คนส่วนมากก็เข้าใจว่าบ้านของเรา เงินของเรา เสื้อผ้าของเรา ไร่นาของเรา ติดอยู่กับวัตถุเหล่านี้ ไม่อยากให้ตนพรากจากสิ่งเหล่านี้ ไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้พรากจากตน เมื่อเกิดการพลัดพรากก็เกิดความโศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้รำพันเช่นเดียวกับชายแปลกหน้า ที่เข้าไปขอพักในโรงงานของนายช่างหม้อ แล้วทึกทักเอาว่าเป็นของตน ถูกเขาผลักไสให้ออกไปก็ไม่ยอมออก ฉะนั้น อาตมาจึงกล่าวได้ว่า คนส่วนมากก็บ้าเหมือนชายคนนั้น
ดูก่อนอุบาสก! อย่าเสียใจเลยที่ท่านต้องสูญเสียบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติเพราะการถูกไฟไหม้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของเรา เรายืมเขาใช้ชั่วคราวเท่านั้น บัดนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องเรียกเอาของเขาคืน เราก็ควรคืนให้เขาไปด้วยความยินดี ในเมื่อชีวิตร่างกายของเรายังมีอยู่ก็หาเอาใหม่ ฉะนั้น อย่าโศกเศร้าเสียใจ ทำใจให้เข้มแข็งไว้ ในชีวิตท่านจะสร้างฐานะของท่านให้มั่นคงได้อย่างเดิม”
นายบ้านยังคงตรึกตรองอยู่เป็นเวลานานพอสมควร จึงก้มลงกราบผม แล้วกล่าวด้วยเสียงแจ่มใสกว่าเดิม
“ท่านผู้เจริญ เทศนาของท่านให้ความสว่างแจ่มใสแก่จิตใจผมมาก ผมไม่เคยฟังเหตุผลเช่นนี้มาก่อนเลย จึงเข้าใจว่าทรัพย์ทั้งหลายเป็นของตนจริง ๆ แต่ที่แท้มันก็เป็นเพียงแต่วัตถุธาตุที่เราขอยืมใช้ชั่วคราว ในระหว่างที่อาศัยอยู่ในโลกเท่านั้นเอง เมื่อเข้าใจเหตุผลข้อนี้แล้ว ทำให้ผมสบายใจขึ้นมากทีเดียว” ว่าแล้วเขาก็ก้มลงกราบผมด้วยความนอบน้อมอีกครั้งหนึ่ง....."
ใครสนใจ ติดตามที่ลิ้งค์ข้างล่างต่อเลยครับ :D
http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=676&Itemid=1
No comments:
Post a Comment