นี่เป็นธรรมะที่ชอบที่สุด เกี่ยวกับเรื่องเงินครับ...
ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จประทับ ณ กรุงสาวัตถี เรื่องของชาวนาผู้หนึ่งได้ติดข่ายพระญาณของท่าน ท่านจึงได้เสด็จไปยังที่นาของชาวนาผู้หนึ่ง พร้อมกับพระอานนท์.......
ณ ที่แห่งนั้น ชาวนาได้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำนาเหมือนเช่นเคย เมื่อไปถึงที่นาก็ลงมือทำนา ครั้นได้แลเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมกับพระอานนท์ จึงได้เข้าไปกราบท่าน...พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสคำใดๆแก่ชาวนา เพียงรับการกราบไหว้ของชาวนาแล้วเสด็จเลยไปในที่พอแก่ชาวนาจะได้ยินพระ สุรเสียงของท่านได้...
พระพุทธองค์ทรงรับสั่งแก่พระอานนท์อย่างนี้ว่า...ดูกร อานนท์ เธอเห็นไหมอสรพิษ ?...
พระอานนท์ก็ได้กราบทูลว่า...เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย..... แล้วพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จจากไป ชาวนา นั้น ได้ยินพระดำรัสของพระพุทธเจ้าและพระอานนท์ ก็สำคัญว่ามีงูเห่าอยู่ในที่นาของตน จึงได้หยิบปฏักมา หมายจะตีงูเห่าให้ตาย
ครั้นเดินมาถึงที่ๆพระผู้มีพระภาคได้ยืนประทับเมื่อครู่ ก็ไม่แลเห็นอสรพิษแต่อย่างใด.....กลับพบเห็นถุงเงินตกหล่นอยู่ที่คันนา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่า มีเงินอยู่ในห่อถึง ๑๐๐๐ กหาปณะ ก็เข้าใจว่าคงจะมีใครทำตกไว้ ความยินดีพอใจก็เกิดขึ้นแก่ชาวนาโดยมิทันปรารภพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคกับ พระอานนท์แม้แต่น้อย จึงได้หยิบห่อเงินนั้นเดินไปที่ท้ายคันนาแล้วขุดหลุมฝังเงินไว้ แล้วก็ไปทำนาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคิดถึงเงิน ๑๐๐๐ กหาปณะนั้นอยู่
ที่มาของเงินถุงนั้นก็มีอยู่ว่า....คืนก่อนวันเกิดเหตุ โจรกลุ่มหนึ่งได้พากันมุดอุโมงค์ท่อน้ำ เพื่อแอบเข้าไปยังหมู่บ้าน แล้วได้เข้าไปปล้นเงินในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง ได้กวาดเอาทรัพย์สินเงินทองไปเป็นจำนวนมาก แล้วได้จากไปในยามดึกนั่นเอง
ครั้นลอดออกพ้นจากอุโมงค์ท่อน้ำ แล้วก็พากันหลบหนีมาจนถึงที่นาของชาวนานั้น โจรผู้หนึ่งขณะปล้นทรัพย์ของเศรษฐี ก็เกิดยักยอกเงินจำนวน ๑๐๐๐ กหาปณะ ใส่ห่อไว้ เหน็บซ่อนไว้ที่เอว ในขณะที่มีการแบ่งเงิน ทรัพย์สินของพวกโจรทั้งหลาย ปรากฏว่า ถุงเงินที่โจรผู้นั้นแอบยักยอกไว้เกิดหล่นลงไปที่พื้นดินโดยไม่มีใครมองเห็น เพราะเป็นเวลาคืนเดือนมืด...
และนี่เป็นที่มา ของเงินที่ชาวนาแอบซ่อนเอาไว้ในคราวที่พบตอนเช้าตรู่
ในเวลาสาย พวกชาวบ้านได้ออกตามรอยเท้ากลุ่มโจรที่ผ่านอุโมงค์ค์น้ำ ตามมาจนถึงที่นาของชาวนา จากนั้นก็เห็นรอยเท้าใหม่ของชาวนาก็ติดตามไปจนถึงบริเวณที่ชาวนาขุดหลุมฝัง ห่อเงินไว้ ได้ขุดขึ้นมาแล้วพบห่อเงิน ก็สำคัญว่า ชาวนานั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโจร
จึงได้กรูกันเข้ามาทำร้ายชาวนาแล้วมัดมือไพล่หลังนำส่งพระราชาให้ลงโทษ พระราชาตัดสินประหารชีวิตชาวนา ราชบุรุษจึงได้นำชาวนาที่ถูกมัดมือไพล่หลังนั้นนำตัวไปเพื่อประหารชีวิต ระหว่าง ทาง ชาวนาได้สำนึกผิดและระลึกถึงคำของพระผู้มีพระภาคขึ้นมา จึงสะท้อนใจว่าตัวไม่เฉลียวใจในคำว่าอสรพิษเลย...จึงคร่ำครวญร้องไห้ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า... “อานนท์ เธอเห็นไหม...อสรพิษ...?” “เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย...”
ชาวนากล่าวไปมาอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษได้ยินจึงถามชาวนาว่า ใยจึงกล่าวอ้างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนั้น ชาวนาจึงเล่าเรื่องราวให้ราชบุรุษฟัง ราชบุรุษจึงได้กราบทูลขอพระราชาให้สอบสวนใหม่ ชนทั้งหลายจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นได้กราบพระผู้มีพระภาค แล้วยืนในที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ได้เอ่ยถามเรื่องของชาวนาแก่พระองค์ พระองค์ทรงตรัสรับรองว่าเป็นจริงแล้วได้กล่าวธรรมกถาว่า....
“บุคคล กระทำกรรมใดแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้ เสวยผลของกรรมอยู่ กรรมนั้น..อันบุคคลทำแล้วไม่ดีเลย ไม่ควรทำ ”
หลังจาก ได้ฟังธรรมกถาของพระผู้มีพระภาค ชาวนาผู้นั้นก็ได้บรรลุธรรม อันเป็นอริยมัค สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระราชา....
คาถาธรรมบทดังกล่าว ท่านแสดงถึงความร้ายกาจของเงินประดุจอสรพิษ คืองูเห่า แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเศรษฐีที่ท่านมีทรัพย์เงินทองมากมายที่ตั้งอยู่ในสัมมา อาชีวะอาทิ เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา เป็นต้นนั้นเป็นผู้เลี้ยงงูเห่าไว้..ไม่ปรากฏว่าท่านได้กล่าวเช่นนั้น
ท่านหมายถึงว่า ธรรมชาติของเงินนั้นมีความร้ายกาจประดุจงูเห่า ถ้าผู้ใช้ใช้ด้วยความประมาท หรือเกี่ยวข้องกับเงินโดยไม่ระวัง ไม่เป็นอย่างถูกต้องชอบธรรมแล้ว ก็จะถูกงูเห่ากัดตายได้ เงินนั้นใครๆก็ชอบ พวกเราทุกคนก็ชอบทั้งนั้น เพราะเราเข้าใจว่า เงินนั้นสามารถซื้อความสุขได้ เงินนั้นมีอำนาจมาก ดังคำเปรียบเทียบเสียดสีในภาษิตของจีนมีอยู่ว่า..
“เงินจ้างผีโม่แป้งได้..” หมายถึงสามารถทำอะไรๆได้เพราะเงิน เรียกว่าเงินบันดาล หรือ
มีภาษิตที่เสียดสีอำนาจของเงินดอลล่าร์ว่า
“เงินหยวนพูดภาษาจีน เงินเยนพูดภาษาญี่ปุ่น เงินบาทพูดภาษาไทย ส่วนเงินดอลล่าร์พูดได้ทุกภาษา ” อย่างนี้เป็นต้น
เงินนั้นมี อำนาจเพราะเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่ขอให้พิจารณาว่าเงินนั้น ซื้อทุกสิ่งได้จริงหรือ ?
เงินซื้อบริวารได้ แต่ซื้อความซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่ได้
เงินซื้อ ตำแหน่งได้ แต่ซื้อศรัทธา ความเคารพรัก นับถืออย่างจริงใจของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้
เงินซื้ออาหารได้ แต่ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้
คนเรากิน ได้เพียง ๑ อิ่ม แม้มีเงินสักเท่าใด บุคคลก็หาได้กิน ๒ อิ่ม ๓ อิ่มไม่ ในเวลาเดียวกัน เงินนั้นแม้จำเป็น แต่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ผู้หาด้วยว่า มีปัญญาไหม หามาด้วยความสุจริตไหม ? บางคนตายจากอัตภาพนี้แล้วไปเป็นเปรตด้วยเหตุแห่งทรัพย์มากมาย หรือไปเกิดเป็นงูเฝ้าสมบัติก็มีมาก
ท่านแสดงว่า บุคคลหาแสวงหาทรัพย์ด้วยความโลภเกินพอดี นั้นเป็น วิสมโลภะ (ความโลภเกินขอบเขต)
บุคคลใดหาเงินมาด้วยความไม่บริสุทธิ์ ก็ชื่อว่ามีอสรพิษร้าย ระวังมันกัดเอาถึงตาย
บางคนหาเงินมาได้แม้ชอบธรรม แต่ใช้ไปในทางที่ผิดเหมือนลูกเศรษฐี ๔ ตระกูลที่ได้มรดกมากมาย นำเงินไปเที่ยวเล่นเสเพลจนกระทั้งไปทำบาปต้องไปตกนรก
แม้ขณะนี้ยังอยู่ในนรกเลย (หัวใจสัตว์นรก...ทุ..สะ..นะ..โส) ท่านแสดงไว้ว่า
บุคคลควรใช้เงิน ในลักษณะ ๔ ประการนี้ คือ
๑. ใช้หนี้เก่า คือการตอบแทนคุณพ่อแม่ ผู้มีพระคุณทั้งหลาย
๒. ให้กู้ คือการเลี้ยงดูบุตร ภรรยา และบริวาร
๓. ทิ้งลงเหว คือการบำรุงตัวเองตามฐานานุรูป ไม่กระเหม็ดกระแหม่จนตัวเองลำบาก
๔. ฝังดินไว้ คือการทำทานเพื่อเป็นอริยทรัพย์ที่จะติดตามตัวไปในสังสารวัฏฏ์อันยาวไกล
ทั้งหลายทั้งปวง คนที่จะได้ฟังธรรม ศึกษาธรรมนั้นส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางที่พอมีพอใช้ ถามว่าเพราะเหตุใด?? ตอบว่า ก็เพราะคนที่ลำบากยากเข็น ไม่สามารถมีเวลา หรือใจที่จะน้อมฟังธรรมหรอกเพราะตัวต้องปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำ หรือคนที่มีความสุขสบายตั้งแต่เกิด
ย่อมเพลิดเพลินในความสุขและทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้น จะมีจิตใจคำนึงถึงความทุกข์ในชีวิตนั้นแสนยาก ดังนั้นผู้ที่ได้ฟังธรรมก็อยากให้ใส่ใจในเรื่องทาน เรื่องศีลให้มากๆ โดยเฉพาะเรื่องศีลนั้น ถ้าทุกคนมีศีลดี จะทำให้สังคมเป็นปกติสุข ไม่เดือดร้อนเหมือนทุกวันนี้.....
ที่มา : http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1244.0
No comments:
Post a Comment